ประวัติสกุลอิงคนินันท์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานนามสกุล อิงคนินันท์ เขียนเป็นอักษรโรมันว่า “Inganinanda” เป็นลำดับที่ ๕๑๗๗ เมื่อวันที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๔๖๒ แก่ นายตาด พธำมรงค์จังหวัดอุตรดิฐ และนายจีน บิดา ปู่ทวดชื่อ อึ้ง นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมอย่างหาที่สุดไม่ได้ และเป็นความภาคภูมิใจอย่างสูงสุดของผู้สืบสกุล
ด้วยเหตุดังกล่าวผู้ที่สืบเชื้อสายจากนายตาด และบุพการี จึงมีนามสกุล อิงคนินันท์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ตามที่ได้ศึกษาจากเอกสารของญาติอาวุโส คุณลุงพจน์ อิงคนินันท์ (ถึงแก่อสัญญกรรม)ซึ่งได้จัดทำขึ้นเพื่อแจกแก่ลูกหลานในงานรวมสกุลอิงคนินันท์ครั้งแรกที่จัดขึ้นที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ และจากคำบอกเล่าคุณเกษมสิงห์ อิงคนินันท์ บุตรคนที่ 2 ของนายตาด และญาติของที่ใกล้ชิด ทราบว่าเดิมก่อนที่จะได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานนามสกุลให้แก่นายตาด หรือขุนอภิธาน ได้ใช้นามสกุลว่า “ วิชาช่วย”
ภาพนายจีนบิดาของนายตาด ถ่ายเมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2423 (ภาพของเกษมสิงห์ อิงคนินันท์)
ประวัติความเป็นมาของสกุลอิงคนินันท์ (ธนกร อิงคนินันท์ เรียบเรียง )
บุคคลที่ควรถือได้ว่าเป็นต้นวงศ์สกุลอิงคนินันท์นั้น ควรจะนับจากบรรพบุรุษคนแรกเท่าที่สืบสาวประวัติได้เรียงลงมาจนถึงบุคคลที่อยู่ในช่วงเวลาที่ได้รับพระราชทานนามสกุล โดยแบ่งออกเป็น 3 ลำดับ ชั้น ดังนี้
ลำดับที่ 1 คือนาย ฮู ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญที่ควรจะถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษต้นตระกูลในลำดับที่ 1 ของวงศ์สกุลอิงคนินันท์ ทั้งนี้ ก็เนื่องจากท่านได้เป็นผู้ให้กำเนิดบุตรหลาน คือ นายจีน และนายตาด ผู้ที่ได้รับพระราชทานนามสกุลอิงคนินันท์ มาเป็นชื่อประจำวงศ์สกุลของผู้สืบสายโลหิตต่อ ๆ กันมาจนถึงทุกวันนี้
ส่วนนายฮู จะสืบเชื้อสายมาจากไหน เป็นบุตรหลานของผู้ใด เกิดและถึงแก่กรรมไปเมื่อใด และเข้ามาตั้งรกรากทำมาหากินอยู่ที่บางขามอย่างไร ตั้งแต่เมื่อใดนั้น ยังไม่อาจสืบสาวราวเรื่องได้ อย่างไรก็ดีมีเหตุผลพอที่เชื่อถือได้ว่า นายฮู ต้องตั้งรกรากอยู่ที่บางขามมาตั้งแต่เดิม หรืออาจเกิดที่บางขามด้วยก็ได้ และเป็นที่มีฐานะดี เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนในท้องน้ำบางขามเสมือนผู้ใหญ่ในท้องถิ่น โดยจะสังเกตเห็นได้จากฐานะความเป็นอยู่ของบุตร และความเคารพนับถือของประชาชนที่มีต่อบุตร ซึ่งเชื่อได้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นมรดกตกทอดมาจากนายฮู
นายฮู มีภรรยาอยู่คนหนึ่งชื่อ “ถมยา” ซึ่งยังไม่อาจสืบสาวได้ว่ามีเชื้อสายมาอย่างไร แต่เชื่อว่าคงจะเป็นผู้มีพื้นเพอยู่ในท้องน้ำบางขามนั่นเอง ทั้งนี้โดยสันนิษฐานเอาจากประเพณีไทยในสมัยโบราณ ซึ่งส่วนมากมักจะมีครอบครัวกันกับผู้ที่อยู่ในละแวกเดียวกัน
นายฮู - นางถมยา มีบุตร 2 คน และบุตรทั้ง 2 คนนี้ ต่างก็มีครอบครัว ประกอบอาชีพอยู่ที่บางขาม โดยตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้เคียงกันตลอดอายุขัย และมีบุตร ธิดา ฝ่ายละคน ชาวบ้านโดยทั่วไปในท้องน้ำบางขามเรียกคนพี่ว่า “ก๋งใหญ่” และเรียกคนน้องว่า “ ก๋งจีน” ซึ่งเป็นต้นวงศ์สกุลอิงคนินันท์ในลำดับลงมา ดังจะกล่าวต่อไป
ลำดับที่ 2 คือ นายจีน ซึ่งเป็นบุตรคนที่ 2 และเป็นคนสุดท้องของ นายฮู-นางถมยา เกิดที่บ้านบางขาม เมื่อ พ.ศ. 2394 วันอังคาร เดือนยี่ ปี่กุน หากจะนับจนถึง พ.ศ. 2526 นี้จะได้ 132 ปี และได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคท้องร่วง เมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2473 ตรงกับ แรม 13 ค่ำ เดือน 5 ปีมะเมีย รวมอายุได้ 79 ปี สำหรับสมัยนั้น ก็นับว่าเป็นผู้มีอายุยืนพอสมควร เมื่อเข้าสู่วัยอันสมควรแก่การมีครอบครัวแล้ว นายจีนได้สมรสกับนางจ่าง ธิดาของนายชำ – นางสมบุญ ภายหลังได้ตั้งนามสกุลว่า “ วิจิตรพันธุ์” มีภูมิลำเนามาแต่ดั้งเดิมอยู่ที่บ้านหัวระกำ ตำบลบางขาม ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำบางขามตรงข้ามกับบ้านต้นหว้า หรือบ้านตราแดงที่ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออก อันเป็นบ้านนายจีนนั่นเอง ส่วนนางจ่าง เกิดเมื่อ พ.ศ. 2399 ตรงกับวันศุกร์ เดือน 4 ปีมะโรง นับจนถึง พ.ศ. 2526 ก็จะได้ 127 ปี และได้ถึงแก่กรรมด้วยโรคชราเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2461 เวลา 19 นาฬิกาเศษ ตรงกับแรม 14 ค่ำ เดือน6 กระทำการฌาปณกิจศพเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2485 ณ วัดกำแพงซึ่งอยู่ใกล้บ้านรวมอายุได้ 82 ปี นายจีนและนางจ่าง ได้ครองเรือนประกอบอาชีพอยู่ที่บ้านต้นหว้า หรือบ้านตราแดงอันเป็นบ้านเกิดตลอดมาจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต โดยในระยะแรกได้ประกอบอาชีพเป็นนายบ่อนเบี้ย ซึ่งสันนิษฐานว่าคงเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากที่บ้านต้นหว้านี้ได้เปิดบ่อนการพนันถั่ว โป ที่ถูกต้องตามกฎหมายมาเป็นเวลาช้านานตั้งแต่เมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน และดูเหมือนว่าเป็นบ่อนการพนันเพียงบ่อนเดียวเท่านั้นที่มีอยู่ในท้องน้ำบางขามในสมัยนั้น ซึ่งคงจะมีต้นเหตุมาจากที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ในสมัยก่อนท้องน้ำบางขามเคยเป็นแหล่งค้าข้าว ที่สำคัญมากแหล่งหนึ่งของจังหวัดลพบุรี ผู้ที่เดินทางมาซื้อข้าวซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวจีน จะนำเรือกระแซงจำนวนมากมายมาซื้อข้าวในฤดูน้ำมากเป็นประจำทุกปี และจะนำเรือกระแซงเหล่านั้นมาจอดพักแรมรวมกันอยู่ที่ท่าน้ำหน้าบ้านต้นหว้า ของนายจีน เป็นเวลานานหลายวัน แล้วผู้ซื้อข้าวเหล่านั้นจะแยกย้ายกันไปติดต่อซื้อข้าวตามยุ้งฉางต่างๆ ตามท้องน้ำบางขาม จนเป็นที่ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว จึงนำเรือกระแซงของตนเคลื่อนย้ายออกไปจากบ้านต้นหว้า เพื่อบรรทุกข้าวลงเรือจากยุ้งฉางเหล่านั้น ผู้ที่มากับเรือกระแซงเหล่านี้ โดยปกติจะมีเงินทองติดตัวมาแทบทุกคน เมื่อมีเวลาว่างระหว่างที่พักแรมอยู่ที่บ้านต้นหว้าก็จะเล่นการพนันกัน ทำให้เจ้าบ้านกลายเป็นนายบ่อน และต้องเก็บอากรส่งหลวงตลอดมา โดยที่นายจีน เป็นที่ฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดมาแต่เยาว์วัย คงจะไม่ชอบการพนัน ซึ่งเป็นอบายมุข ภายหลังที่มีครอบครัวแล้วไม่นานนัก จึงได้เลิกบ่อนการพนันที่เป็นมรดกตกทอดมาเสียโดยสิ้นเชิง แล้วได้หันไปประกอบสัมมาชีพดั้งเดิมแต่ด้านเดียว คือการให้เช่าที่นาบ้าง ขายไม้ไผ่ที่ปลูกเป็นรั้วรอบบริเวณบ้านสำหรับทำเป็นแพลูกบวบบ้าง และขายไม้สะแกที่ขึ้นอยู่ในที่ดินของตนเองสำหรับทำฟืนบ้าง แต่โดยปกติแล้ว นายจีนจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของท่านไปในการทำบุญการกุศล ทำนุบำรุงพระศาสนาตามวัดต่าง ๆ ในท้องน้ำบางขามซึ่งมีอยู่หลายวัด เป็นกิจวัตรอย่างสม่ำเสมอตลอดอายุขัยของท่าน
นายจีน – นายจ่าง มีบุตรธิดารวม 9 คน เป็นชาย 6 คน และเป็นหญิง 3 คน ซึ่งควรจะนับได้ว่าเป็นต้นตระกูลอิงคนินันท์ในลำดับที่ 3 ดังจะกล่าวต่อไป
ลำดับที่ 3 ได้แก่ บุตรธิดาของนายจีน – นางจ่าง รวม 9 คน ซึ่งเกิดที่บ้านต้นหว้า หรือบ้านตราแดงทั้ง 9 คน และเป็นผู้สืบเชื้อสายจากนายจีน – นางจ่าง ที่ควรจะนับได้ว่าเป็นต้นตระกูลอิงคนินันท์ในลำดับที่ 3 ทั้ง 9 คน ทั้งนี้ก็เนื่องจากเป็นบุคคลที่อยู่ในช่วงที่ได้รับพระราชทานนามสกุลอิงคนินันท์ อันเป็นมรดกอันล้ำค่าตกทอดมายังหลาน เหลน โหลน ตราบเท่าทุกวันนี้
บุตรธิดาของนายจีน – นางจ่างทั้ง 9 คนนี้ มีชื่อเรียงกันคนหัวปีลงมายังคนสุดท้อง ตามลำดับ ดังนี้
บุตรธิดาของนายจีน – นางจ่างทั้ง 9 คนนี้ มีชื่อเรียงกันคนหัวปีลงมายังคนสุดท้อง ตามลำดับ ดังนี้
1.ฉาบ (ชาย) ได้ถึงแก่กรรมไปก่อนที่จะถึงวัยอันควร
2.แส (หญิง) ภายหลังที่มีครอบครัวแล้ว ได้แยกเรือนออกไปตั้งรกรากประกอบอาชีพค้าขายกับสามีอยู่ที่บ้านสากกระเบื้อง ตำบลสากกระเบื้อง อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี ตลอดจนมาจนถึงแก่กรรม
3.ทิ้ง (หญิง) ได้ถึงแก่กรรมไปก่อนที่จะถึงเวลาอันควร
4.ก้อย (หญิง) ซึ่งเป็นชื่อที่มีความหมายว่าเป็นลูกสาวคนเล็ก แต่ชาวบ้านทั่วไปมักเรียกกันว่า “กล้อย” ตามความสะดวกปาก ซึ่งไม่มีความหมายอะไร นางก้อย เป็นธิดาคนเดียวที่ถึงแม้จะมีครอบครัวแล้ว ก็ยังคงประกอบอาชีพค้าขายกับสามีอยู่ที่บ้านต้นหว้า เพื่ออยู่ดูแลปรนนิบัติบิดามารดาอย่างใกล้ชิด ตลอดเวลาที่ท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ หลังจากที่บิดามารดาถึงแก่กรรมไปหมดแล้ว นางก้อยก็ยังรับภาระเข้าปกครองดูแลทรัพย์สิน อันเป็นมรดกสืบต่อมาอีกเป็นเวลานาน จนกระทั่งถึงแก่กรรม
5.กัง (ชาย) เมื่อมีครอบครัวแล้ว ได้แยกเรือนออกไปตั้งรกรากประกอบอาชีพกับภรรยาอยู่ที่ทางบ้านของภรรยาทางตอนใต้ของตำบลบ้านชี ซึ่งไม่ห่างไกลจากบ้านเดิมเท่าใดนัก จนกระทั่งถึงแก่กรรมเมื่อเข้าสู่วัยชรา
6.เต๋อ (ชาย) ได้ถึงแก่กรรมไปก่อนที่จะถึงเวลาอันควร
7.ตาด (ชาย) เป็นบุตรคนเดียวที่ได้รับการศึกษามากพอสมควรตั้งแต่ยังเยาว์วัย และได้เข้ารับราชการตลอดมา จนกระทั่งถึงแก่กรรมก่อนครบเกษียณอายุราชการเพียงเล็กน้อยที่บ้านของท่าน ณ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
8.พงษ์ (ชาย) เป็นบุตรคนเดียวที่ได้อุปสมบทในบวรพระพุทธศาสนาตลอดอายุขัย โดยเริ่มเข้าอุปสมบทตั้งแต่เป็นสามเณรจนเป็นพระภิกษุ ชั้นพระราชาคณะ โดยได้ศึกษาพระปริยัติธรรมสอบได้นักธรรมเอก และเป็นมหาเปรียญ 6 ประโยค โดยได้จำพรรษาอยู่ที่วัดจักรวรรดิราชาวาสวรวิหาร (วัดสามปลื้ม) กรุงเทพมหานครเป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็น “พระสุทธิพงษ์มุณี” (เจ้าคุณ) และได้มรณภาพในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบพิตรภิมุขวรวิหาร (วัดเชิงเลน) กรุงเทพมหานคร
9.เภา (ชาย) เป็นบุตรสุดท้อง เมื่อมีครอบครัวแล้ว ได้แยกเรือนออกไปตั้งรกรากประกอบอาชีพอยู่ทางบ้านของภรรยา ซึ่งอยู่ท้ายตำบลบ้านชี ไม่ห่างไกลจากบ้านเกิดเท่าใดนัก หลังจากที่ได้ครองเรือนมีบุตรหลายคนแล้ว ก็ได้แยกตัวไปประกอบอาชีพอยู่ในท้องที่จังหวัดอื่นโดยเฉพาะที่อำเภอตะพานหิน จังหวัดพิจิตรเป็นส่วนใหญ่ จนถึงแก่กรรม
พอสรุปได้ว่าบุตรธิดาของนายจีน – นางจ่าง ทั้ง 9 คนที่กล่าวมานี้ ขณะนี้ได้ถึงแก่กรรมไปหมดสิ้นแล้วทุกคนในระยะเวลาต่าง ๆ กัน และผู้ที่ถึงแก่กรรมเป็นคนสุดท้าย คือ นางก้อย ซึ่งเป็นธิดาคนที่ 4 เกิดเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2425 ตรงกับวันพุธแรม 12 ค่ำ เดือน 4 ปีมะเมีย และถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2511 กระทำการฌาปนกิจศพ เมื่อวันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2512 ที่วัดไลย์ ตำบลเขาสมอคอน อำเภอท่าวุ้ง จังหวัดลพบุรี รวมอายุได้ 87 ปี
อนึ่ง ในบรรดาบุคคลที่เป็นต้นตระกูลอิงคนินันท์ในลำดับที่ 3 จำนวนทั้งหมด 9 ท่าน ที่ได้กล่าวมานี้ มีอยู่ท่านหนึ่งซึ่งจำเป็นต้องกล่าวถึงเป็นกรณีพิเศษ ท่านผู้นั้นคือ นายตาด ซึ่งเป็นบุตรคนที่ 7 ของนายจีน กับนางจ่าง และเป็นผู้ที่มีบุญคุณอย่างใหญ่หลวงต่อผู้ร่วมวงศ์สกุลอิงคนินันท์ทุกคน อันควรแก่การจารึกไว้เป็นเกียรติประวัติของสกุลอิงคนินันท์ ทั้งนี้ก็เนื่องจากเป็นผู้ริเริ่มและดำเนินการขอพระราชทานนามสกุลอิงคนินันท์ อันเป็นผลให้อนุชนรุ่นหลังของตระกูลอิงคนินันท์ได้มีชื่อประจำวงศ์สกุลตลอด มาตราบเท่าทุกวันนี้
นายตาด เกิดเมื่อ พ.ศ. 2433 ปีขาล หากจะนับถึง พ.ศ. 2526 ก็จะได้ 93 ปี และได้ถึงแก่กรรมที่บ้านของท่าน ณ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2484 ในขณะที่มีอายุ 51 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่อยู่ในระยะเริ่มต้นของสงครามมหาเอเชียบูรพา นายตาด เป็นบุตรเพียงคนเดียวในจำนวน 9 คน ของนายจีน – นางจ่าง ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมากพอสมควรตั้งแต่เยาว์วัย และได้เข้ารับราชการในสังกัดกระทรวงมหาดไทย ประกอบกับเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและได้ประกอบคุณงามความดีในหน้าที่ ราชการตลอดมา จึงได้เจริญก้าวหน้ามาตามลำดับถึงขั้นสัญญาบัตร ซึ่งในสมัยนั้นมีไม่มากนัก ตำแหน่งสำคัญที่ได้รับความไว้วางใจจากกระทรวงมหาดไทย ให้รับผิดชอบตลอดมาเป็นระยะเวลานานก็คือ ตำแหน่งพธำมรงค์
สำหรับพธำมรงค์ “พะทำมะรง” หมายถึงตำแหน่ง พัสดีเรือนจำ เป็นตำแหน่งเก่าของข้าราชการกรมราชทัณฑ์ ที่มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ควบคู่กับตำแหน่งพัสดีปรากฎหลักฐานอยู่ในกฎหมายตราสามดวง และอัยการลักษณะต่าง ๆ ตำแหน่งพะทำมะรงได้ใช้ติดต่อกันมาตลอดจนได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2479 ตำแหน่งพะทำมะรงจึงได้ถูกยกเลิกไป (http://thai.tourismthailand.org/)
นอกจากนั้นยังดำรงตำแหน่งนายอำเภอ โดยได้โยกย้ายไปตามจังหวัดต่าง ๆ หลายจังหวัด เช่น อำเภอกงไกรลาส จังหวัดสุโขทัย เป็นต้น จนกระทั่งใกล้จะครบเกษียณอายุราชการ ได้มีโรคภัยมาเบียดเบียน ทำให้นายตาด ต้องลาออกจากราชการมาพักผ่อนรักษาตัวอยู่ที่บ้าน และถึงแก่กรรมก่อนครบเกษียณอายุราชการเพียงเล็กน้อย (ในสมัยนั้นข้าราชการเกษียณอายุราชการเมื่ออายุครบ 55 ปี บริบูรณ์) ในระหว่างที่นายตาด รับราชการอยู่ที่จังหวัดอุตรดิษฐ์ ซึ่งเป็นต้นสมัยรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติได้เพียง 3 ปี ก็ได้มีประกาศพระบรมราชโองการลงวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2455 โปรดเกล้าฯ ให้ตรากฎหมายว่าด้วยการขนานนามสกุลขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย เรียกว่า “ พระราชบัญญัตินามสกุล พระพุทธศักราชการ 2456 ” แต่ต่อมาก็ได้มีประกาศพระบรมราชโองการ โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนกำหนดวันใช้บังคับออกไปถึง 3 ครั้ง ในที่สุดก็ได้ให้ใช้บังคับกฎหมายดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2461 เป็นต้นไป ด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น และเพื่อจะให้ข้าราชการได้เป็นผู้นำในเรื่องนี้แก่ประชาชน ทางราชการจึงได้เปิดโอกาสให้ข้าราชการขอพระราชทานนามสกุลได้ ในขณะนั้น นายตาด ซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ดำรงตำแหน่งพธำมรงค์ จังหวัดอุตรดิษฐ์อยู่ จึงได้ทำเรื่องขอพระราชทานนามสกุล โดยผ่านกระทรวงมหาดไทยเป็นต้นสังกัด หลังจากนั้นชั่วระยะเวลาไม่นาน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล่าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ก็ได้ทรงขนานนามสกุลให้ว่า “ อิงคนินันท์ ” และให้เขียนเป็นอักษรโรมันว่า “ Inganinanda” และทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้แก่ “ นายจีน บิดา กับนายตาด พธำมรงค์จังหวัดอุตรดิษฐ์ บุตร ” เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พระพุทธศักราช 2462 โดยมีข้อความละเอียดปรากฏอยู่ในหลักฐานประกาศนียบัตรที่ได้รับพระราชทานมา นับได้ว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้นหาที่สุดมิได้
ภายหลังที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานนามสกุลให้แล้ว นายตาด ก็ได้รับพระราชทานยศและบรรดาศักดิ์เป็น “รองอำมาตย์โท ขุนอภิธานสุรทัณฑ์” และได้โยกย้ายจากจังหวัดอุตรดิษฐ์ไปดำรงตำแหน่งพระธำมรงค์บ้าง นายอำเภอบ้าง อยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ อีกหลายแห่ง จนกระทั่งลาออกจากราชการ เนื่องจากมีโรคภัยเบียดเบียน และถึงแก่กรรมไปก่อนครบเกษียณอายุราชการเพียงเล็กน้อย ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว นายตาด หรือ ขุนอภิธานสุรทัณฑ์ ได้สมรสกับนางชื่น เพ็งบุญมี(สกุลเดิม)ซึ่งมีรกรากดั้งเดิมอยู่ที่จังหวัดหนองคาย เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2444 เสียชีวิตในปี พ.ศ. 2533 โดยปกติ นางชื่น ซึ่งฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัดตลอดมามักจะไปรักษาศีลปฏิบัติธรรม เป็นประจำอยู่ที่วัดบุญญาภิสมภรณ์ บ้านดอนปอ ตำบลหนองบัวใต้ อำเภอศรีบุญเรือง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นสำนักเนกขัมมะบารมี โดยได้ปฏิบัติเช่นนี้มาเป็นเวลาช้านานแล้ว นับตั้งแต่เริ่มเข้าสู่วัยชรา ติดต่อกันมาจนวาระสุดท้ายของชีวิต โดยได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากนาวาอากาศเอกประจักษ์ อิงคนินันท์ ตำแหน่งหัวหน้ากองบริการ กรมสื่อสารทหารอากาศ กองทัพอากาศ ดอนเมือง กรุงเทพมหานคร และครอบครัวในขณะนั้น
แม้ว่า เอกสารหลักฐานที่กล่าวมาข้างต้นนี้จะมีอายุถึง 91 ปี แล้วขณะนี้ (พ.ศ.2553) ต้นฉบับที่ได้รับพระราชทานมาก็ยังคงเก็บรักษาไว้ในสภาพเรียบร้อย และได้จัดทำสำเนาที่เหมือนกันกับต้นฉบับไว้กับหัวหน้าครอบครัวในนามสกุลอิงคนินันท์ทุกครอบครัวด้วยแล้ว เพื่อเป็นหลักฐานและเครื่องหมายอันมีค่ายิ่งของวงศ์สกุล หากผู้ใดยังไม่ได้รับก็ขอให้มารับจากผู้เรียบเรียงประวัติสกุลอิงคนินันท์ นี้ได้ทุกเวลา อย่างไรก็ดี โดยที่นามสกุลอิงคนินันท์ เป็นภาษาบาลี จึงใคร่อธิบายความหมายตามที่ผู้เรียบเรียงค้นคว้าหาความรู้มาได้ ดังนี้ (ธนกร อิงคนินันท์)
“ อิงค” แปลว่า น่าอัศจรรย์ น่าแปลกประหลาด น่าพิศวง หรือมิได้คิดคาดหมายว่าจะเป็นไปได้
“ นิ” เป็นคำที่ใช้เสริม หรือเชื่อมคำให้เกิดความสละสลวยยิ่งขึ้นหรือให้ต่อเนื่องกัน ไม่มีความหมาย
“นันท์” แปลว่า ความยินดี ความร่าเริง หรือความสนุกสนาน ในทำนองเดียวกับคำว่า “ นันทิ” ในภาษาสันสกฤตซึ่งแปลว่าผู้มีความยินดี
เมื่อรวมความหมายของแต่ละคำที่กล่าวมาข้างต้นมาเข้าด้วยกันแล้ว คำว่า “อิงคนินันท์”
จึงเป็นชื่อวงศ์สกุลของ “ ผู้ที่มีแต่ความปิติยินดีอย่างน่าอัศจรรย์” อันเป็นมงคลนามยิ่ง สมตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานมาโดยแท้ เรียบเรียงโดยธนกร อิงคนินันท์
จึงเป็นชื่อวงศ์สกุลของ “ ผู้ที่มีแต่ความปิติยินดีอย่างน่าอัศจรรย์” อันเป็นมงคลนามยิ่ง สมตามที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานมาโดยแท้ เรียบเรียงโดยธนกร อิงคนินันท์
ภาพขุนอภิธานสุรทัณฑ์ (ตาด อิงคนินันท์) ไม่ทราบวันเวลาถ่าย
ภาพนายขุนอภิธานสุรทัณฑ์ถ่ายกับบุตรชายทั้ง 3 ที่บ้านพักเรือนจำจังหวัดนครราชสีมา
(ซ้ายเสื้อขาวนายสุวิทย์ ยืนด้านหลังสวมหมวก น.อ.ประจักษ์ ขวานายเกษมสิงห์)
ภาพขุนอภิธานสุรทัณฑ์นั่งเล่นสกากับครอบครัว
ซ้ายนางชื่น ขวานางเดือน ส่วนเด็กที่นั่งข้างๆไม่ทราบชื่อ
ภาพถ่ายกับลูกและญาติๆ ก่อนถึงแก่อสัญญกรรม ประมาณ 6 เดือน
แนะนำ แก้ไข ปรับปรุง แจ้งข้อมูลเพิ่มเติม ที่ sukasem99@gmail.com
ท่านใดต้องการภาพถ่ายสามารถขอเข้ามาได้ ผู้เขียนจะทยอยลงเพิ่มเติม
ท่านใดต้องการภาพถ่ายสามารถขอเข้ามาได้ ผู้เขียนจะทยอยลงเพิ่มเติม